Home
ผลงานภาควิชา » โครงงานนักศึกษา » ปริญญาตรี » ปีการศึกษา 2557
โครงงานที่ 59 การปรับปรุงค่าขีดความสามารถของกระบวนการในระยะยาวจาก กระบวนการแฟรลิ่ง

โครงงานที่ 59 การปรับปรุงค่าขีดความสามารถของกระบวนการในระยะยาวจาก กระบวนการแฟรลิ่ง

หัวข้อโครงงาน              การปรับปรุงค่าขีดความสามารถของกระบวนการในระยะยาวจาก                                  กระบวนการแฟรลิ่ง

โดย                         นาย นวพล แสนสกุล    รหัสนักศึกษา 540610293  

ภาควิชา                    วิศวกรรมอุตสาหการ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

อาจารย์ที่ปรึกษา           อ.ดร.วสวัชร นาคเขียว

ปีการศึกษา                 2557

 


บทคัดย่อ

งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มค่าขีดความสามารถของกระบวนการในระยะยาวจากกระบวนการแฟรลิ่งให้มีค่ามากกว่า 1.67 โดยศึกษาจาก บริษัทจอห์นสัน คอนโทรลส์ & ซัมมิท อินทีเรียส์ เนื่องจากความต้องการของลูกค้าที่ต้องการให้ค่าขีดความสามารถของกระบวนการในระยะยาวจากกระบวนการแฟรลิ่งมีค่ามากกว่า 1.67 สำหรับผลิตภัณฑ์ใหม่ซึ่งต้องเป็นไปตามข้อกำหนดใน TS16949 ได้ระบุว่าตำแหน่งนี้เป็นคุณสมบัติวิกฤตที่ต้องมีการควบคุมเป็นพิเศษเพราะมีผลเกี่ยวกับความปลอดภัยของผู้ใช้งาน งานวิจัยชิ้นนี้ได้ใช้การวิเคราะห์ระบบการวัด หลักการทางสถิติและการออกแบบการทดลองมาแก้ไขปัญหา โดยจะใช้หลักการวิเคราะห์ระบบการวัดมาวิเคราะห์การวัดว่ามีน่าเชื่อถือหรือไม่ จากผลการวิเคราะห์สามารถสรุปได้ว่ามีความน่าเชื่อถือจึงนำวิธีวัดนี้ไปใช้ในการเก็บข้อมูลสำหรับการวิเคราะห์ทางสถิติ จากนั้นทำการทดสอบผลกระทบหากปรับเปลี่ยนระยะเคลื่อนที่ของหัวบานที่1และ3ว่าจะมีผลกระทบต่อขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง RR/IB และ RR/OB หรือไม่ โดยใช้หลักการ t-test ซึ่งผลปรากฏว่าไม่มีผลกระทบจึงดำเนินการขั้นต่อไปคือการออกแบบการทดลองเพื่อหาระยะการเคลื่อนที่ของหัวบานให้เหมาะสมที่สุดเพื่อให้ค่าขีดความสามารถของกระบวนการในระยะยาวจากกระบวนการแฟรลิ่งออกมามีค่ามากกว่า 1.67

จากการปรับปรุงโดยการใช้หลักการการออกแบบการทดลองเพื่อหาระยะการเคลื่อนที่ของหัวบานให้เหมาะสมที่สุดดังกล่าว พบว่า ค่าขีดความสามารถของกระบวนการในระยะยาวที่ตำแหน่ง FR/OB เพิ่มขึ้นจาก 0.49 เป็น 2.24 และค่าขีดความสามารถของกระบวนการในระยะยาวที่ตำแหน่ง FR/IB เพิ่มขึ้นจากเดิม 0.43 เป็น 2.37 จากการปรับปรุงกระบวนการทำให้ลดปัญหาการทำงานซ้ำจากเดิม 464 ครั้งเป็น 36 คิดเป็นร้อยละ 92.24 และปัญหาชิ้นงานเสียลดลงจากเดิม 281 ครั้งเป็น 28 คิดเป็นร้อยละ 90.03 ซึ่งผลออกมาเป็นที่พึงพอใจอย่างยิ่งโดยในขั้นต่อไปผู้จัดทำได้ออกแบบแผนการควบคุมกระบวนการเพื่อเป็นมาตรฐานในการปรับตั้งเครื่องจักรต่อไป